1. แนวคิดของการปรับปรุงงาน
การปรับปรุงงาน (Work
improvement) หมายถึงการพิจารณาปัจจัยองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งหมด
เพื่อวิเคราะห์ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพื่อทำให้
การทำงานของคนมีความสะดวก สบาย ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป
ผลลัพธ์ในการปรับปรุงงาน จึงสามารถกล่าวอ้างถึงดัชนีชี้วัดในในด้านต่อไปนี้ เช่น
ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือการเกิดโรคจากการทำงานลดลง
(เป็นผลต่อเนื่องมาจากการลดความล้า และความเครียดจากการทำงาน)
จำนวนอุบัติเหตุในสถานที่ทำงานลดลง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสถานประกอบการลดลง
อัตราผลิตภาพ (Productivity)สูงขึ้น
ผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานหรือมีความสุขมากขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้
การปรับปรุงงานสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคต่างๆ ได้มากมาย
โดยอาจเป็นเทคนิคทางการยศาสตร์ เทคนิคทางด้านวิศวกรรมอุตสาหการ (IE
techniques) อื่นๆ เช่น ระบบลีน (LEAN) เทคนิคห้าดับเบิ้ลยูกับหนึ่งเอ็ช
(5W&1H Analysis: who what where when why & how) เทคนิคการตอบคำถาม “ทำไม” (Why-why
analysis) เทคนิควงจรคุณภาพ (Q.C. Circle) เทคนิคเครื่องมือคุณภาพ
7 อย่าง (7Q.C. Tools) เทคนิคความสูญเสีย
7 ประการ (7 Wastes) เป็นต้น
ซึ่งในทางปฏิบัติมักจะพบว่าจำเป็นที่จะต้องมีการใช้หลายเทคนิคผสมผสานกันเพื่อให้สามารถลดปัญหาที่เกิดขึ้นและทำให้การปรับปรุงงานเกิดประโยชน์สูงสุด
การลดปัญหาต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของความไม่สะดวกสบายในการทำงาน หรือ
เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายในสถานที่ทำงาน ไม่ว่าเป็นการบาดเจ็บกะทันหัน
(อุบัติเหตุ) หรือการบาดเจ็บสะสม ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาสู่หน่วยงานและตัวผู้ปฏิบัติงานเองนั้น
มีมากมายหลายประการ ดังนี้
·
ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากการบาดเจ็บ
หรือ เจ็บป่วย
·
เพิ่มกำไรให้กับหน่วยงานได้
เนื่องจากความสามารถในการเพิ่มผลผลิตสูงขึ้นโดยพนักงานที่ไม่มีการบาดเจ็บ
หรือเจ็บป่วยจากการทำงาน
·
ลดความสูญเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าชดเชย
หรือค่าประกันต่างๆ
·
เพิ่มศักยภาพ
และเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้
·
ผู้ปฏิบัติงานมีสุขภาพกายและจิตที่ดี
มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
·
สังคมในสถานที่ทำงานมีความสุข
ส่งผลต่อการพัฒนาสังคมในวงกว้างยิ่งขึ้น
2. การศึกษาพฤติกรรมและท่าทางการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์
ปัจจุบันนักศึกษาทุกระดับชั้นของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตหาดใหญ่ นิยมใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลาย
การใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ใช้งาน
แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของผู้ใช้คอมพิวเตอร์มากเช่นกัน
โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ ซึ่งจากการศึกษารายงานการวิจัยพบว่า
การใช้คอมพิวเตอร์ที่มากขึ้นของนักศึกษามีความเชื่อมโยงกับอัตราการเพิ่มขึ้นของอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
(Jacob et al. 2009) ซึ่งอาจมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่
ลักษณะพฤติกรรมและท่าทางการใช้งานที่ไม่เหมาะสม แสงสว่างไม่เพียงพอ
ระยะห่างจากสายตาถึงจอภาพคอมพิวเตอร์ใกล้เกินไป
และระยะเวลาที่ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละครั้งนานเกินไป ในงานวิจัยของพันธุ์เทพ
นกแก้วและนิศานาถ พัสดุสาร (2555) จึงมุ่งเน้นที่จะศึกษาถึงความเสี่ยงของท่าทางการใช้คอมพิวเตอร์
และเสนอแนะแนวทางการใช้คอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องตามหลักการทางการยศาสตร์
โดยทำการประเมินความเสี่ยงของท่าทางการใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปทำการวิเคราะห์
เพื่อการเสนอแนะและปรับปรุงวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ให้ถูกต้อง
เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่อาจเกิดขึ้นได้
ในงานวิจัยนี้ได้ทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จำนวน 316 คน
พฤติกรรมการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาได้มีการรวบรวมโดยการใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว
ในส่วนของท่าทางการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาได้มีการประเมินโดยวิธีการประเมินร่างกายส่วนบน
(RULA) และวิธีการทางชีวกลศาสตร์ ผลของการศึกษาครั้งนี้พบว่า
นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ในช่วงเวลากลางคืน (92.4%) มีการนำแผ่นรองเมาส์พักข้อมือและแป้นพิมพ์ต่อพ่วงภายนอกมาใช้ในระดับปานกลาง
(40.8% และ 33.5% ตามลำดับ)
มือของนักศึกษามีการวางในตำแหน่งและท่าทางที่เหมาะสม (มากกว่าร้อยละ 80) มีการใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ยังพบว่าประมาณ 25% ของนักศึกษา มีพฤติกรรมการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ที่ไม่ดี และมากกว่า 80% ของนักศึกษา
ประสบกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อและโครงกระดูกจากการใช้งานคอมพิวเตอร์
นักศึกษาส่วนใหญ่มีปัญหาบริเวณคอและหลังส่วนเอว อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของอาการปวดอยู่ในระดับต่ำ
ผลจากการประเมินด้วยวิธีการ RULA
แสดงให้เห็นว่า ท่าทางของนักศึกษามีความเสี่ยงต่ำ
ซึ่งสอดคล้องกับผลจากการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางชีวกลศาสตร์ หลังจากการประเมินผลพฤติกรรมและท่าทาง ได้นำ 3 แนวทาง คือ การให้ความรู้เกี่ยวกับการยศาสตร์, การสาธิตโปรแกรมสำหรับการเตือน,
และการให้คำแนะนำรายบุคคล
มาแนะนำแก่นักศึกษาที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง พบว่า แนวทางการให้ความรู้
มีความพึงพอใจสูงสุดจากความคิดเห็นของนักศึกษาที่ได้รับการแนะนำ
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ซึ่งมีขนาดจอภาพระหว่าง
14-15 นิ้ว คิดเป็นร้อยละ 69.9
ในขณะนั่งใช้งานคอมพิวเตอร์ทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานมักจะประสบกับอาการผิดปกติเกี่ยวกับตาคือ
ปวดตา/แสบตา จำนวน 158
คน คิดเป็นร้อยละ 50.0
ส่วนใหญ่ไม่มีที่พักเท้า คิดเป็นร้อยละ 86.1
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เมื่อใช้เมาส์จะไม่มีการใช้ที่รองข้อมือ
คิดเป็นร้อยละ 58.5 และมีเพียงร้อยละ 13.9
ที่มีการใช้ที่รองข้อมือทุกครั้งหรือค่อนข้างบ่อย
มีการใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์สูงกว่าคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ร้อยละ 43.7 กลุ่มตัวอย่างมีการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิง
สืบค้นข้อมูล พิมพ์เอกสาร ร้อยละ 91.1, 79.7, 56.6 และมีร้อยละ
5.4 ที่ใช้งานประเภทอื่นๆ อาทิ ใช้ในการเขียนโปรแกรม
เป็นต้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ประสบปัญหาทางด้านสายตา
กลุ่มตัวอย่างที่ประสบปัญหาทางด้านสายตา มีเพียงร้อยละ 31.0 ที่มีสายตาสั้น ร้อยละ 4.8 มีสายตาเอียง และมีร้อยละ 6.6 ที่มีสายตาทั้งสั้นและเอียง
กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องในระดับปานกลาง
กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการวางมือเมื่อมองจากด้านข้างขณะใช้เมาส์ที่ถูกต้อง ร้อยละ
82.3
และมีพฤติกรรมการวางมือเมื่อมองจากด้านบนขณะใช้เมาส์ที่ถูกต้อง ร้อยละ 80.1 มีการวางมือเมื่อมองจากด้านข้างขณะใช้แป้นพิมพ์ที่ถูกต้อง ร้อยละ 48.1,
มีลักษณะลำตัวในขณะนั่งในการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ในการทำงานที่ถูกต้อง
ร้อยละ 17.1
กลุ่มตัวอย่างที่เคยมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกายขณะใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์
โดยมักมีอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ ร้อยละ 68.7 หลังส่วนล่าง ร้อยละ 52.2 ไหล่
ร้อยละ 45.6 และ ข้อมือ ร้อยละ 41.8 กลุ่มตัวอย่างร้อยละ
43.4 สามารถทำแบบทดสอบความรู้ด้านการยศาสตร์ในระดับปานกลาง
จากการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย 30
คน โดยคัดกรองจากกลุ่มตัวอย่าง
ที่มีระดับคะแนนต่ำสุดของคะแนนรวมที่ได้จากการตอบแบบสอบถามพฤติกรรมและท่าทางเกี่ยวกับการใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์และแบบทดสอบความรู้ทางการยศาสตร์
การคัดเลือกจะเป็นแบบอาสาสมัคร กลุ่มเป้าหมายจะถูกวิเคราะห์และประเมินผล
ท่าทางการทำงานตามวิธี RULA โดยใช้แบบฟอร์ม RULA สำหรับการบันทึกผลคะแนน และทำตามขั้นตอนการประเมิน โดยค่ามุมที่วัดได้ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
Kinovea กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ มีผลประเมิน RULA อยู่ในระดับ 3 คิดเป็นร้อยละ 63.3
แสดงว่า
ลักษณะท่านั่งในการใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์นั้นเริ่มเป็นปัญหาควรทำการศึกษาเพิ่มเติมและรีบดำเนินการปรับปรุงลักษณะงาน
การคำนวณหาค่าแรงกดที่กระทำตรงบริเวณหลังส่วนล่าง
โดยวิธีการวิเคราะห์ทางชีวกลศาสตร์ (Biomechanics)
ถ่ายภาพวีดีโอบันทึกท่าทางในขณะใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ของกลุ่มเป้าหมาย 30
คน โดยใช้กล้องดิจิตอลในการบันทึก ซึ่งบันทึกภาพ 2 ด้าน คือ ด้านซ้ายและด้านขวา วัดขนาดสัดส่วนร่างกายของกลุ่มเป้าหมาย
โดยวัด 5 สัดส่วน คือ ระยะจากปลายนิ้วถึงข้อมือ
ระยะข้อศอกถึงข้อมือ ระยะข้อศอกถึงหัวไหล ความสูงยืนระดับไหล่
โดยอ้างอิงการวัดสัดส่วนของร่างกายของอาจารย์กิตติ อินทรานนท์ จากนั้นนำวีดีโอบันทึกท่าทางในขณะใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ของกลุ่มเป้าหมาย
มาวัดค่ามุมต่างๆของท่าทางโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป Kinovea โดยมุมที่วัด
ประกอบด้วย 5 มุม มุมของมือวัดเทียบกับแนวระนาบ (θ1) มุมของแขนส่วนล่างวัดเทียบกับแนวระนาบ (θ2) มุมของแขนส่วนบนวัดเทียบกับแนวระนาบ
(θ3) และมุมของลำตัววัดเทียบกับแนวระนาบ (θ4) นำข้อมูลขนาดสัดส่วน
และค่าของมุมที่วัดได้
มาทำการคำนวณหาค่าแรงกดที่กระทำตรงบริเวณหลังส่วนล่างตามวิธีการวิเคราะห์ทางชีวกลศาสตร์
(Biomechanics) โดยอาศัยโปรแกรม Microsoft Excel กลุ่มเป้าหมาย มีค่าแรงกดที่กระทำตรงบริเวณหลังส่วนล่างสูงสุดเท่ากับ
2350.21 นิวตัน ซึ่งมีค่าน้อยกว่า 3400 นิวตัน
แสดงว่า
ลักษณะท่านั่งของกลุ่มเป้าหมายก่อให้เกิดแรงกดที่กระทำตรงบริเวณหลังส่วนล่างอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
สามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดอาการปวดเมื่อยรุนแรง
รูปที่แสดงการวัดค่ามุมต่างๆของท่าทางโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
Kinovea
ถึงแม้พบว่าผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการยศาสตร์จะไม่อยู่ในระดับรุนแรง
แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงระยะเวลาในการใช้งานพบว่านักศึกษาที่เป็นกลุ่มเป้าหมายยังคงมีความเสี่ยงในการใช้งานคอมพิวเตอร์
และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ในงานวิจัยนี้จึงได้มีการเสนอแนะแนวทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและท่าทางการใช้คอมพิวเตอร์แก่กลุ่มเป้าหมายโดยใช้
3 แนวทาง ดังนี้
1. การให้ความรู้ (Education) ให้ความรู้เรื่องท่านั่งใช้คอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์
โดยเสนอในแบบของวีดีโอ ดังแสดงในรูป พร้อมประกอบการบรรยาย ซึ่งสามารถค้นหาวิดีโอได้ที่ www.youtube.com นอกจากนั้นยังได้แจกเอกสารให้ความรู้เรื่อง
การใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ถูกสุขลักษณะ โดยกล่าวถึงลักษณะท่านั่ง สถานีงานที่เหมาะสมแก่การทำงาน
ข้อปฏิบัติเพื่อช่วยปรับท่านั่งปฏิบัติงานกับเครื่องโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์
และวิธีปฏิบัติงานกับเครื่องโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์
ให้แก่กลุ่มเป้าหมายไว้สำหรับอ่านเพิ่มเติม
รูปแสดงวีดีโอแสดงท่านั่งใช้คอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์
ที่มา:
(www.youtube.com, 2013)
2.
การใช้ตัวเตือน (Reminder) โดยการแนะนำโปรแกรมเตือนเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้คอมพิวเตอร์
มีด้วยกัน 2 โปรแกรม ดังนี้
(1)
โปรแกรม Eyes Relax หน้าต่างของโปรแกรม
เป็นโปรแกรมประเภท Freeware ลักษณะการทำงานของโปรแกรมคือ
จะเตือนให้ผู้ใช้พักสายตาและหยุดใช้งานจากหน้าจอเป็นระยะๆ ตามการตั้งค่า
โดยสามารถตั้งค่าการเตือนเบื้องต้นในลักษณะต่างได้ เช่น Breaks สามารถตั้งค่าเวลาในการใช้งานสำหรับเตือนให้พักสายตา
โดยโปรแกรมจะเริ่มนับเวลาถอยหลัง และสามารถตั้งช่วงเวลาพักสายตาได้
โดยสามารถตั้งลักษณะการแสดงเมื่อถึงช่วงพักสายตาได้ 4 ลักษณะ
เช่น Breaks dialog เป็นลักษณะแสดงข้อความเตือนว่าควรพักสายตา Breaks screen เป็นลักษณะแสดงสีต่างๆ ตามตั้งค่า Image เป็นลักษณะแสดงภาพตามตั้งค่า
(ดังแสดงในรูป) และ Slide
เป็นลักษณะแสดงการเลื่อนเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆตามตั้งค่าไว้ นอกจากนั้นยังสามารถตั้งค่ารหัสผ่านได้
ซึ่งเป็นการตั้งค่ารหัสสำหรับใช้ในโหมดผู้ปกครอง (Parent mode) เพื่อป้องกันผู้ใช้จากการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าการเตือน หรือปิดการเตือนในขณะโปรแกรมทำงาน
หรือปิดโปรแกรม
รูปแสดงลักษณะการแสดงภาพเมื่อถึงช่วงพักสายตา
(2)
โปรแกรม Workrave
เป็นโปรแกรมประเภท Freeware ลักษณะการทำงานของโปรแกรมคือ
จะเตือนผู้ใช้ให้ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์และปรับเปลี่ยนอิริยาบถในการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ
ตามการตั้งค่า โดยสามารถตั้งค่าการเตือนเบื้องต้น เช่น สามารถตั้งเวลาให้ผู้ใช้วางมือจากการจับเมาส์เป็นระยะๆ
ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลาทำงานตามที่ตั้งไว้ โปรแกรมจะแสดงกล่องข้อความขึ้นมา หรือ
ตั้งเวลาเพื่อให้ผู้ใช้หยุดใช้งานคอมพิวเตอร์ชั่วคราวแล้วเปลี่ยนอิริยาบถ
ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลาทำงานตามที่ตั้งไว้
โปรแกรมจะแสดงหน้าต่างแนะนำท่าทางสำหรับออกกำลังกายพร้อมคำอธิบายประกอบ ดังแสดงในรูป
รูปแสดงหน้าต่างแนะนำท่าทางสำหรับออกกำลังกายพร้อมคำอธิบายประกอบ
3. การให้คำแนะนำ (Counseling) ผู้วิจัยแนะนำการปรับเปลี่ยนท่าทางการนั่งของกลุ่มเป้าหมายให้ถูกวิธี
โดยแสดงผลการประเมินท่าทางการใช้งานคอมพิวเตอร์ของร่างกายส่วนบน (RULA) และผลการคำนวณหาค่าแรงกด (Compressive force) ที่กระทำตรงบริเวณหลังส่วนล่าง
(L5/S1) ในขณะใช้งานคอมพิวเตอร์ของกลุ่มเป้าหมายแต่ละคน
(โดยแต่ละคนมีผลการประเมินที่แตกต่างกัน) ซึ่งการให้คำแนะนำจะทำเป็นรายบุคคล
หลังจากดำเนินการใน 3 วิธีข้างต้น
จะมีการประเมินความคิดเห็นต่อแนวทางต่างๆโดยให้กลุ่มเป้าหมายตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจของแนวทางต่างๆ
พบว่า กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่
มีความพึงพอใจแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและท่าทางการใช้คอมพิวเตอร์โดยการให้ความรู้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 คิดเป็นร้อยละความพึงพอใจเท่ากับ
90.67 มีความพึงพอใจแนวทางการให้คำแนะนำเป็นอันดับที่ 2 คิดเป็นร้อยละความพึงพอใจเท่ากับ 90.00 และมีความพึงพอใจแนวทางการใช้ตัวเตือนเป็นอันดับที่ 3 คิดเป็นร้อยละความพึงพอใจเท่ากับ 80.67
3. การศึกษาท่าทางการเคลื่อนย้ายถังไนโตรเจน
เบญจพร หุนแดง และ วรรณิการ์ เมืองโคตร (2555) ได้ทำการศึกษาท่าทางการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนเหลวของพนักงาน
ในศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพสงขลา ศูนย์วิจัยดังกล่าวมีหน้าที่หลักในการศึกษา
ค้นคว้า วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีการผสมเทียมและวิทยาการสืบพันธุ์สัตว์ ให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผสมเทียม
การย้ายฝากตัวอ่อน โคนม โคเนื้อ กระบือ สุกร แพะ และปศุสัตว์อื่นๆ
ต้องใช้ไนโตรเจนเหลวในการเก็บรักษาน้ำเชื้ออสุจิของสัตว์_ซึ่งศูนย์วิจัยฯทำหน้าที่จัดหาไนโตรเจนเหลวให้กับหน่วยงานต่างๆ
ของกรมปศุสัตว์ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัด คือ ปัตตานี
นราธิวาส สงขลา ตรัง พัทลุง สตูล และยะลา เดือนละ 1-3 ครั้ง
ในแต่ละครั้งมีปริมาณการใช้ที่แตกต่างกัน โดยเฉลี่ยเดือนละ 8,000 ลิตร การเก็บกักและบรรจุไนโตรเจนเหลวต้องป้องกันความร้อนจากบรรยากาศภายนอก
จึงจำเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์พิเศษในการบรรจุและรักษาดังแสดงในรูป ซึ่งบรรจุภัณฑ์พิเศษมีราคาค่อนข้างแพง ถังบรรจุภัณฑ์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 35
เซนติเมตร ความสูง 60 เซนติเมตร น้ำหนัก 5
กิโลกรัม_เมื่อบรรจุไนโตรเจนเหลวจะมีน้ำหนัก 50-60
กิโลกรัม ทำให้เกิดปัญหาในการขนถ่ายเคลื่อนย้ายไนโตรเจนเหลว
ในกรณีที่ต้องใช้แรงงานคนในการเคลื่อนย้าย
รูปแสดงตัวอย่างถังไนโตรเจนเหลว
วิธีการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนเหลวของศูนย์วิจัยฯใช้แรงงานคนเป็นหลัก
โดยมีวิธีการเคลื่อนย้าย คือ พนักงานยกถังไนโตรเจนเหลวน้ำหนัก 50-60 กิโลกรัม ครั้งละ 30-40 ถัง จากการสำรวจเบื้องต้น
พบว่าพนักงานต้องออกแรงอย่างมากในการยกถังไนโตรเจนเหลว
รวมถึงใช้ท่าทางการยกที่ผิดหลักการยศาสตร์
ทำให้พนักงานมีความเสี่ยงที่จะเกิดกลุ่มอาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ
ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญและพบบ่อยในปัจจุบัน
รูปแสดงการเคลื่อนย้ายถังถังไนโตรเจนเหลว
งานวิจัยที่ดำเนินการโดย เบญจพร
หุนแดง และ วรรณิการ์ เมืองโคตร (2555) ได้มุ่งเน้นที่การลดความเสี่ยงของท่าทางการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนเหลว
และเสนอแนะแนวทางการเคลื่อนย้ายที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ให้กับพนักงานของศูนย์วิจัยฯ
โดยทำการประเมินความเสี่ยงของท่าทางการเคลื่อนย้ายในปัจจุบัน
แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์
เพื่อเสนอแนะและปรับปรุงวิธีการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนเหลวให้มีความถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอาการผิดปกติของระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อที่อาจเกิดขึ้นได้
จากการสัมภาษณ์พนักงานจำนวน 14
คน จากหน่วยงานในสังกัดทั้งหมด 7 จังหวัด คือ
ปัตตานี นราธิวาส สงขลา ตรัง พัทลุง สตูล และยะลา
ซึ่งแต่ละจังหวัดมีพนักงานยกถังไนโตรเจนเหลวจังหวัดละ 2 คน
พบว่าพนักงานทั้งหมดเป็นเพศชาย ที่มีอายุระหว่าง 25-60 ปี
ส่วนมากมีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า 10 ปี
มีช่วงเวลาในการปฏิบัติงาน คือ 10.00-12.00 น. ปฏิบัติงานเดือนละ 2-3 ครั้ง
ในแต่ละครั้งจะเคลื่อนย้ายไนโตรเจนเหลว 40-50 ถัง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลภาวะความไม่สบายที่เกิดขึ้น พบว่าในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา
พนักงานทุกคนเคยมีอาการปวดและเมื่อยล้าจากการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนเหลว โดย พบว่าตำแหน่งบนร่างกายที่พนักงานส่วนใหญ่มีอาการปวดและเมื่อยล้ามากที่สุด
คือ บริเวณแขนส่วนล่าง (ร้อยละ 85.7) รองลงมา คือ
หลังส่วนล่าง (ร้อยละ 71.4) และมีค่าดัชนีความไม่ปกติ (Abnormality
Index; AI) อยู่ระหว่าง 1.88-3.22 การวิเคราะห์และประเมินท่าทางการทำงานโดยใช้เทคนิค
RULA และ REBA
ซึ่งทำการบันทึกวิดีโอการเคลื่อนย้ายถังไนโตรเจนเหลวตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
(มี 5 ขั้นตอนหลัก)
และนำมาทำการวิเคราะห์โดยใช้แบบฟอร์ม RULA
และ REBA พบว่ามีค่าคะแนน RULA เป็น 3 อยู่ 1 ขั้นตอน
ซึ่งหมายความว่า ควรตรวจสอบอย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนงานเมื่อจำเป็น และอีก 4
ขั้นตอนที่เหลือ มีคะแนนเป็น 7 นั่นแสดงว่า
การทำงานในขั้นตอนส่วนใหญ่มีปัญหาด้านการยศาสตร์ต้องได้รับการปรับปรุงโดยทันที
สำหรับการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค REBA พบว่า มีค่าคะแนน REBA
เป็น 5-7 จำนวน 3 ขั้นตอน
ซึ่งหมายความว่า ควรทำการศึกษาเพิ่มเติมและรีบดำเนินการปรับปรุง และมีจำนวน 2
ขั้นตอนที่มีคะแนนเป็น 9 นั่นแสดงว่า
การทำงานในขั้นตอนส่วนใหญ่มีปัญหาด้านการยศาสตร์ต้องได้รับการปรับปรุงโดยทันที
จากการคำนวณค่าแรงกดที่กระทำต่อหมอนรองกระดูก
L5/S1 ในขณะยกถังไนโตรเจนเหลว
โดยการประเมินทางชีวกลศาสตร์
พบว่าค่าแรงกดที่กระทำต่อหมอนรองกระดูก L5/S1 มีค่า 5,596.44 นิวตัน
เมื่อเปรียบเทียบค่าที่ได้กับมาตรฐานการยกของของ NIOSH
ที่กำหนดให้แรงกดที่กระทำต่อหมอนรองกระดูก L5/S1 ควรมีค่าต่ำกว่าขีดจำกัดเบื้องต้นในการทำงาน
คือ 3,400 นิวตัน
แสดงว่าการยกถังไนโตรเจนเหลวนั้นควรได้รับการพิจารณาปรับปรุงงาน
เนื่องจากมีค่าแรงกดที่กระทำต่อหมอนรองกระดูก L5/S1 สูง
อาจก่อให้เกิดความรุนแรง และการบาดเจ็บของโครงร่างและกล้ามเนื้อได้ ในงานวิจัยนี้จึงได้เสนอแนวทางการปรับปรุงงาน ซึ่งสามารถจำแนกได้ 2
ประเภท ดังนี้
1. การปรับปรุงงานที่ไม่มีค่าใช่จ่ายในการดำเนินงาน
แนวทางการปรับปรุงงานที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
เป็นการนำเสนอแนวทางการปรับปรุงงานโดยใช้หลักการยศาสตร์เข้ามาช่วยในปรับปรุงงาน
คือ การปรับปรุงท่าทางการทำงานของพนักงานยกถังไนโตรเจนเหลว
เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อของพนักงานยกถังไนโตรเจนเหลว
การปรับปรุงท่าทางการยกถังไนโตรเจนเหลวของพนักงาน มุ่งเน้นไปที่การลดระดับความเครียดทางกายภาพ และลดค่าแรงกดที่กระทำต่อหมอนรองกระดูก L5/S1 รวมทั้งลดอาการปวดและเมื่อยล้าบนตำแหน่งร่างกายของพนักงาน
ซึ่งตำแหน่งที่พบมากที่สุด คือ แขนส่วนล่าง รองลงมา คือ หลังส่วนล่าง
โดยให้ผู้ปฏิบัติงานปรับเปลี่ยนท่าทางการยกถังไนโตรเจนเหลวให้มีความถูกต้องตามหลักการยศาสตร์
เช่น ให้พนักงานอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อม ขาชิดถังไนโตรเจนเหลว
วางเท้าอย่างถูกต้องและมีความมั่นคง เพื่อป้องกันการเปลี่ยนสมดุลของร่างกาย ให้ถังไนโตรเจนเหลวอยู่ชิดกับลำตัวให้มากที่สุด
เพื่อให้น้ำหนักของถังไนโตรเจนผ่านลงที่ต้นขาทั้งสอง
ให้พนักงานย่อเข่าให้หลังเป็นแนวตรง รักษาสภาพความโค้งของกระดูกสันหลังให้เป็นแนวตรง
เพื่อให้แรงกดบนหมอนรองกระดูกสันหลังมีการกระจายตัวเท่ากัน
ให้พนักงานจับถังไนโตรเจนเหลวที่หูจับให้มั่นคงโดยใช้ฝ่ามือจับ
เพื่อป้องกันการลื่นหลุดมือ และทำให้จับได้ถนัดและง่ายขึ้น ให้พนักงานค่อยๆ
ยืดเข่าเพื่อยืนขึ้น โดยใช้กำลังจากกล้ามเนื้อขา และขณะที่ยกขึ้น
โดยหลังจะอยู่ในแนวตรงหรือเป็นไปตามธรรมชาติ
เมื่อทำการคำนวณหาค่าแรงกดที่กระทำต่อหมอนรองกระดูก L5/S1 หลังการปรับปรุงท่าทางการยกถังไนโตรเจนเหลว
พบว่าค่าแรงกดที่กระทำต่อหมอนรองกระดูก L5/S1 มีค่าลดลงโดยมีค่า 2,274.97 N ซึ่งมีค่าต่ำกว่าขีดจำกัดเบื้องต้นตามมาตรฐานการยกของ
NIOSH คือ ต่ำกว่า 3,400 แสดงว่าการปรับปรุงท่าทางการยกถังไนโตรเจนเหลวมีผลทำให้ลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นต่อระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อของพนักงานได้
2. การปรับปรุงงานที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
การปรับปรุงงานที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
เป็นการนำเสนอแนวทางการปรับปรุงงานโดยใช้อุปกรณ์ช่วยในการดำเนินงาน
เพื่อสามารถสร้างความสะดวกสบายในการทำงาน รวมทั้งลดความเสี่ยงจากการทำงานที่อาจก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ
ในงานวิจัยนี้ได้ออกแบบอุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนย้ายถังไนโตรเจนเหลว
โดยใช้หลักการยศาสตร์มาช่วยในการออกแบบ
และให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้จากการวัดขนาดสัดส่วนร่างกายของพนักงาน เช่น
ความสูงของอุปกรณ์ ความกว้างของอุปกรณ์ เป็นต้น
อุปกรณ์ที่นำเสนอเพื่อการพิจารณาของผู้บริหารศูนย์ฯ ในกรณีที่สามารถจัดหางบประมาณได้
ได้แก่
การจัดสร้างรถเข็น การปรับพื้นเอียง รถยกถังไนโตรเจนเหลวแบบใช้ระบบคานเลื่อนและรอก ระบบคานยึดและรอก เป็นต้น
ก)
แบบจำลองคานเลื่อนและรอกพร้อมอุปกรณ์
|
ข)
แบบจำลองคานยึดและรอก พร้อมอุปกรณ์
|
รูปแสดงอุปกรณ์ที่แนะนำ